วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อันตรายจากไมโครเวฟ

ภาพข้างล่างเอามาจากเวป arunsawat.com เห็นแล้วตกใจนิิดหน่อย เป็นกาีรทดลองโดยการเปรียบเทียบการอุ่นน้ำจากไมโครเวฟและการอุ่นน้ำจากกาน้ำทั่วไป







เกิดอะไรขึ้น เก้าวันเท่านั้น โอ้ย แล้วเราละเต็มๆ เลยสะสมไปวันละนิดๆ เค้าว่ากันว่าอันตรายนี้้สะสมรวดเร็วพอๆกับยาพิษ เหมือนตายผ่อนส่ง   มันจะทำให้การย่อยเราไม่ได้การดูดซึมอาหารเราไม่ดีด้วยเท่ากับกินของเสียและมีของเสียคงอยู่ในร่างกายถาวรเหมือนกินยาพิษอิเลคตรอนและโปรตรอนที่อยู่ในอาหารที่ถูกปรุงด้วยไมโครเวฟมันถูกเปลี่ยนรูปไปทำให้อาหารคือสารพิษผลคือ ถ่ายไม่คล่อง เป็นมะเร็งเต้านม ลำคอลำไส้และอวัยวะภายในการสืบพันธุ์


ผลจากอาหารไมโครเวฟทำให้ผู้ชายเป็นหมัน แล้วมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ส่วนผู้หญิงจะเป็นมะเร็งที่มดลูก ลูกออกมามักไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ยังไม่พบข่าวการแพทย์ในไทยผลทางร่างกาย หงุดหงิด สมองเสื่อมไว เมตาบอริซึมผิดปกติ เป็นไมเกรนง่าย

บนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก ก็มีการระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือดเนื่องจากคลื่นไมโครเวฟจะไปทำลายสารอาหารที่มี ประโยชน์ทั้งหมด ผลร้ายที่เกิดเนื่องจากไมโครเวฟนี้ มีรายงานมากมายที่ทำในประเทศรัสเซีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์แต่มีน้อยมากในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการวิจัยในสหรัฐส่วนใหญ่ จะต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้า มิฉะนั้น จะไม่ค่อยมีคนทำตาม

ในรายงานในรัสเซีย เยอรมนี และสวิส พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมองลดลง สมองเสื่อม ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาวจะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง และเปลี่ยนแปลงทำลายเกลือแร่ต่างๆ ในผัก เปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นโทษต่อร่างกาย ยังมีคลื่นอื่นๆ อีกหลายตัวในไมโครเวฟ ที่ล้วนทำให้สารบำรุงในอาหารเปลี่ยนไป และแปรสภาพเป็นสารก่อมะเร็ง …  ข้อมูลจากหนังสือซานเปิ่น (ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์) 

ดร.ฮานส์ อุลริช เฮอร์เทล (Hans Ulrich Hertel) นักวิทยาศาสตร์เคยทำงานของมหาวิทยาลัยโลวาน ศึกษาผลกระทบด้านโภชนาการของอาหารไมโครเวฟที่มีต่อเลือดและร่างกายของมนุษย์ โดยให้อาสาสมัคร 8 คนกินนมและผักที่เตรียมวิธีต่างกัน  คือ นมสด, นมชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม, นมพาสเจอไรซ์, นมสดที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟ, ผักสดจากฟาร์มอินทรีย์, ผักชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม, ผักชนิดเดียวกันแต่แช่แข็งและละลายในไมโครเวฟ และผักชนิดเดียวกันแต่หุงต้มในไมโครเวฟ มีการเก็บตัวอย่างเลือดก่อนกินขณะท้องว่างและหลังกิน

ผลการทดลองปรากฏว่า พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเลือดของผู้กินอาหารที่ผ่านการหุงต้มด้วยไมโครเวฟ เช่น ฮีโมโกลบินลดลง คลอเรสเตอรอลชนิดดีลดลง   เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น  ซึ่งการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ในเชิงโลหิตวิทยาถือเป็นสัญญาณอันตราย กล่าวคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ร่างกายจึงต้องผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อจัดการกับความผิดปกติเหล่านั้น

ราวกับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงอุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟ ภายหลังตีพิมพ์ผลงานไม่นาน  สมาคมผู้ค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและอุตสาหกรรมแห่งสวิตเซอร์แลนด์ที่รู้จักในชื่อ FEA ก็อาศัยอำนาจศาลสั่งให้ ดร. เฮอร์เทล  ยุติการเผยแพร่ข้อมูล ต่อมาในปี 2536 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาว่า ดร. เฮอร์เทลทำลายการค้า พร้อมสั่งปรับและห้ามไม่ให้ตีพิมพ์ผลการวิจัยอีกต่อไป  ทว่าในอีก 5 ปีต่อมา  ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่ออสเตรเลียได้พิพากษาว่า การสั่งห้ามไม่ให้ ดร.เฮอร์เทลพูดถึงอันตรายของเตาไมโครเวฟที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งนี้ได้สั่งศาลสวิตเซอร์แลนด์จ่ายค่าชดเชยให้ ดร.เฮอร์เทลด้วย (ที่มาจากเวป  rmutphysics  โดยคุณ ภัสน์วจี   ศรีสุวรรณ์)   
ข้อมูลเยอะไปหน่อยนะค่ะ ก็แค่อยากแบ่งปันเนื้อหาสาระให้ทุกคนได้อ่านและศึกษากัน กลัวไหมคะ ถ้าไม่กลัวก็จงใช้กันต่อไปนะ ... จะทำไงได้ละก็ในปัจจุบันชีวิตคนเราต้องกาีรความรวดเร็ว รีบด่วน มันก็ยากที่จะเลี่ยง แต่ถ้าไม่รีบร้อนอะไรก็ใช้วิธีอุ่นอาหารแบบที่บรรพบุรุษเราทำดีกว่านะค่ะ (ไม่ต้องถึงขั้นก่อฝืนก่อไฟก็ได้นะค่ะ )

ที่มา mail forwarding

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น