วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จะทำอย่างไรดี ถ้าต้องขับรถลุยน้ำท่วม?


อันดับแรกต้องระวังน้ำเข้าท่อไอเสีย ให้ลองกะระดับน้ำคร่าวๆ กับความสูงของช่วงล่างว่าสามารถขับลุยได้ไหม ถ้าเป็นรถเก๋งทั่วไปสามารถลุยน้ำได้สูงประมาณ 5-10 ซม. แต่ถ้าน้ำสูงกว่านั้นควรหลบไปใช้เส้นทางอื่นดีกว่าเสี่ยงให้รถดับกลางทาง

ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีล่ะ?

ข้อ 1 ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด

ในขณะขับรถลุยน้ำลึก เพราะสาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ เพราะว่าเมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง เครื่องจะดับเอาง่ายๆ หรือถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุนๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัด ไม่ว่าจะเป็นขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่งสิ่งของพวกนี้ มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่าเราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา

ข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ

สำหรับเกียร์ธรรมดาก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้ ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น

ข้อ 3 ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูงๆ 

เพราะเห็นผู้ขับขี่หลายๆ คนมักจะเร่งเครื่องแรงๆ เพราะกลัวเครื่องดับ เพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย  ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมากๆ  แท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่องยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน และสิ่งที่จะตามมาก็จะเหมือนกับข้อ 1  ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย แล้วรถอยู่ที่รอบเดินเบาแรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบายๆ

ข้อ 4 ควรลดความเร็วลง 

เมื่อกำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้

หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือ

ข้อที่ 1 พยายามย้ำเบรกเพื่อไล่น้้ำ 

เพราะในช่วงแรกๆ หลังจากการลุยน้้ำลึกมา มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก ถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก สำหรับเกียร์ธรรมดาต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก เพราะหลังการลุยน้ำมาอาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก

ข้อที่ 2 ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม 

เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจ ให้สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมา คือ มันจะผุ

หลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว ควรจะทำอย่างไร?

ข้อที่ 1. ล้างรถ 

รวมถึงการฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วย รวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่างๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือบริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมด เพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้นมันใหญ่หลวงนัก หนักๆ หน่อยไฟอาจไหม้ได้

ข้อที่ 2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่ามันมีสีผิดปกติหรือไม่ 

คือ ถ้ามีลักษณะคล้ายสีชาเย็น นั่นแสดงว่า ต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจ เพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึกๆ มา มันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์ และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง

ข้อที่ 3. เช็คลูกปืนล้อ 

ซึ่งพูดง่ายๆ ว่า เจอน้ำทีไร ลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูงๆ อันนี้ ทำใจไว้ได้เลยว่าอาจต้องเปลี่ยน แต่โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็วก็เพราะสาเหตุที่ว่าจอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำโดยปกติจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็เตรียมตัวเสียเงินได้เลย

ข้อที่ 4. ตรวจสอบพื้นพรมในรถว่าเปียกชื้นหรือไม่ 

เพราะหลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร เพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือกดแรงๆ ดู หรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือเปล่า ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสารน่าจะถึงเวลารื้อพรมกันแล้ว เพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียงเอาผ้าซับๆ ให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริงๆ แล้วมันก็แห้งเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถ มีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้ง มันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้ ในรถยังมีระบบปรับอากาศที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในรถของคุณ นั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะสูดเอาเชื้อโรคต่างๆ เข้าไปตลอดเวลา

ด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยของทุกท่าน หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่านนะคะ

ที่มา : forward mail

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น